ให้รัฐบาลหัดรับฟังคนเห็นต่าง
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า หากนายกฯไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องของเยาวชนในนามกลุ่มประชาชนปลดแอก สถานการณ์อาจบานปลายถึงขั้นรัฐบาลอยู่ยาก ขณะนี้สิ่งที่ไม่ยากเกินกว่าที่ พล.อ.ประยุทธ์จะทำได้ คือ การใช้ทฤษฎี “5 E” เพื่อส่งเสริมเสถียรภาพเบื้องต้นของรัฐบาล คือ 1.Narrative Economics (เศรษฐศาสตร์นโยบาย) 2.Education แก้ไขระบบการศึกษาไทยให้ตรงจุด 3.Environment ปัญหาสิ่งแวดล้อม 4.Empower (ให้อำนาจ) ควรให้อำนาจประชาชนออกแบบวิธีแก้ปัญหาในชีวิตของพวกเราเอง รับฟังความเห็นทุกภาคส่วนทั้งผู้เห็นต่างหรือเห็นพ้อง 5.Engagement (การมีส่วนร่วม) ปัญหาที่เกิดขึ้นหลายปัญหา เกิดจากการที่ประชาชนขาดการมีส่วนร่วม หาก พล.อ.ประยุทธ์พร้อมแก้ปัญหาร่วมกับประชาชน คงไม่สายเกินไปที่จะกลับตัวกลับใจเปลี่ยนวิธีบริหารประเทศใหม่ ตัวเลือกของรัฐบาลคงเหลือไม่มากแล้ว
“องอาจ” หนุนหั่นอำนาจ ส.ว.
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า แต่ละพรรคมีข้อเสนอต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เหมือนและแตกต่างกันบ้าง ฉะนั้นทั้งพรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมไปถึงวิปวุฒิสภา ควรไปประชุมปรึกษาหารือกันแต่ละฝ่าย และนำข้อสรุปของแต่ละฝ่ายมานำเสนอให้สาธารณชนรับทราบ จากนั้นทั้ง 3 ฝ่ายมาหารือร่วมกัน เพื่อหาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปในทิศทางเดียวกัน จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นได้ เราต้องแสวงหาความร่วมมือจากทุกฝ่าย หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทุกรูปแบบ ส่วนกรณีนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.เสนอแนว ทางโดยยอมตัดอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ และเลิกโควตา ผบ.เหล่าทัพ มาเป็น ส.ว.โดยตำแหน่งนั้น นับเป็นเรื่องดีที่ ส.ว.มองเห็นจุดอ่อนที่ควรมีการแก้ไข และประเด็นที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ออกมาชุมนุม ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ ทุกฝ่ายควรรับฟังและพิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม
“เทพไท” ตีปี๊บถึงเวลาแก้ รธน.
นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีเสียงเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญมาก ไม่ว่าจะแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือยกร่างใหม่ทั้งฉบับ และนายกฯก็แสดงท่าทีชัดเจนเห็นด้วยให้มีการแก้ไข เพียงแต่ไม่บ่งบอกถึงห้วงเวลา หรือรายละเอียดว่าจะแก้ไขอย่างไร ส่วนความเห็นของ ส.ว.บางส่วน อาทิ นายคำนูญ สิทธิสมาน และนายวันชัย สอนศิริ ที่พร้อมให้มีการแก้ไขลดอำนาจ ส.ว.โหวตเลือกนายกฯ และยกเลิกโควตา ผบ.เหล่าทัพ เป็น ส.ว.โดยตำแหน่ง เป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าขัดกับหลักการประชาธิปไตยสากล ดังนั้นเมื่อทั้ง 3 ฝ่าย คือ รัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา เห็นพ้องต้องกันแล้ว ต้องรีบผลักดันสะสาง หรือสังคายนาแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียใหม่ และเร่งหาข้อสรุปให้เร็วที่สุด ไม่ควรยืดเยื้อซื้อเวลาอีกต่อไป
“หนูนา” ขอดูทิศทางลมก่อน
น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า รัฐธรรมนูญทุกฉบับมีทั้งจุดแข็งข้อดี พรรคเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีประเด็นที่มีปัญหาและสมควรได้รับการแก้ไข แต่จะแก้ไขอะไรบ้างนั้น ขอฟังข้อเสนอของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์และแนวทางแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญก่อน และขอฟังความคิดเห็นของประชาชนทุกกลุ่ม จึงจะมากำหนดท่าทีอีกครั้ง เราให้ความสำคัญไม่เฉพาะเพียงเนื้อหาว่าจะแก้ไขอะไร แต่กระบวนการแก้ไขก็สำคัญ ถ้าที่มาของการแก้ไขไม่เป็นที่ยอมรับ ต่อให้ผลออกมาอย่างไรก็ไม่เป็นที่ยอมรับ
“ท็อป” วอน นศ.แก้ไปทีละเปลาะ
นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา สิ่งที่ต้องตระหนักคือต้องมองภาพรวมว่าสิ่งที่เรียกร้องจะไปก่อให้เกิดปัญหาใหม่หรือไม่ หากกลับไปสู่จุดเดิมจะเป็นการเปลืองทั้งแรงกายและความตั้งใจจริงของกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เพราะแต่ละข้อเรียกร้องเป็นความตั้งใจและหวังดี อยากเห็นความก้าวหน้าประเทศ แต่บางครั้งสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ทำได้จริง มันยังคลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ดังนั้นต้อง มีความอดทนค่อยแก้กันไปทีละเปลาะ ทั้งนี้เชื่อว่ารัฐบาลและนายกฯจะพยายามดูแลความต้องการของทุกฝ่ายให้ดีที่สุด ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งในสังคม น่าเห็นใจนายกฯที่ต้องแก้ไขปัญหาในหลายมิติ
“แนน” ชงตั้ง กก.สอบ ส.ส.รีดหัวคิว
วันเดียวกัน น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย ส.ส. อุบลราชธานี พรรคประชาธิปัตย์ ประธานอนุกรรมาธิการพิจารณางบประมาณบูรณาการ 2 กล่าวว่า หลังปรากฏเป็นข่าวว่ามีอนุ กมธ.พิจารณางบประมาณบูรณาการ 2 บางคน ไปเรียกรับเงินแลกกับการอนุมัติงบประมาณของกรมทรัพยากรน้ำบาดาลนั้น ตนถือว่าเป็นผู้ได้รับความเสียหายมากที่สุดเพราะเป็นประธานชุดนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย จะเสนอให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุที่ไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอง เกรงจะถูกครหาว่าเป็นการชงเองตบเอง ขณะนี้ถูกลากโยงไปเป็นประเด็นการเมืองไปแล้ว จะหารือต่อประธาน กมธ.ชุดใหญ่อีกครั้งในเรื่องนี้
ลั่น “ไม่ได้ทำอย่ามายัดเยียด”
น.ส.แนน บุณย์ธิดายังโพสต์เฟซบุ๊กเพิ่มเติมระบุว่า “ในฐานะประธานอนุกรรมาธิการพิจารณางบประมาณบูรณาการ 2 ทำตามกรอบงานทุกอย่าง ไม่เคยลุกจากที่นั่งหาอธิบดีคนไหนนอกห้อง ไม่เคยโทร.หาอธิบดีคนไหน ไม่เคยมีเบอร์หัวหน้าหน่วยงานที่ผ่านการพิจารณาในห้อง ไม่เคยขอนามบัตร ไม่เคยขู่ตบทรัพย์ ไม่เคยขู่ใครพร้อมให้ตรวจสอบทุกอย่าง พร้อมให้ตั้งกรรมการสอบ #ไม่ได้ทำอย่ามายัดเยียด”
ปชป.ย้ำสุจริตต้องตรวจสอบได้
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า น.ส.แนน บุณย์ธิดา สมชัย ไม่ได้นิ่งนอนใจ เสนอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อให้เรื่องนี้เกิดความกระจ่างและโปร่งใส หากเราต้องการให้การเมืองสุจริต ไม่มีทางไหนดีกว่าการตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมา รวมทั้ง น.ส.แนน บุณย์ธิดา เป็นคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว ที่สำคัญรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ชัดเจนเรื่องการห้ามมิให้ ส.ส.กระทำการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ห้ามมิให้กระทำการไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม มีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณ หรือจัดทำโครงการ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
“วราวุธ” รอซักอธิบดีน้ำบาดาล
ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า คาดว่าวันที่ 10 ส.ค.จะได้พูดคุยกับอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เชื่อว่าจะพูดคุยกันลุล่วงไปด้วยดี เป้าหมายของ กมธ. คงดูความคุ้มค่าของงบประมาณ กมธ.กับฝ่ายราชการอาจมีความเห็นต่างกันไป พูดกันไปพูดกันมา หนึ่งบวกหนึ่งอาจไม่ใช่สองเสมอไป แต่เชื่อว่าทุกคนมีความตั้งใจดี ส่วนโครงการขุดบ่อบาดาลถือเป็นเรื่องสำคัญ จะไม่ยอมให้ใครมาบีบ ต้องการให้งานออกมาดี ประชาชนได้ประโยชน์ แต่ถ้าออกมาแล้วมาฟันกัน 20-30 เปอร์เซ็นต์ แล้วงานราชการออก มาเสียหาย อันนี้รับไม่ได้ ถ้ายังเป็นรัฐมนตรีอยู่ จะไม่ยอมให้ใครมานำเงินงบประมาณใช้ไปทางที่ไม่เกิดประโยชน์
“โกศล” ซัดอาชญากรโกงงบฯ
นายโกศล ปัทมะ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า มองว่าวิธีการตบทรัพย์ดังกล่าวเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ผิดทั้งกฎหมาย และจริยธรรมนักการเมือง อยากเรียกร้องให้ กมธ.งบฯชุดใหญ่ เร่งรัดไต่สวนเรื่องนี้ให้เกิดความกระจ่างแก่สังคม และเรียกร้องไปถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรียกผู้เกี่ยวข้องไปให้ข้อมูล ถ้ามีมูลก็ขอให้ตั้งเรื่องสอบสวนเอาคนผิดมารับโทษให้ได้ ไม่เช่นนั้น ส.ส.ทั้งสภาฯจะถูกเหมารวมว่ามีส่วนไปด้วย และใครก็ตามหากมีพฤติกรรมดังกล่าว คงไม่สามารถเรียกตัวเองเป็น ส.ส.ได้อีกแล้ว เพราะการกระทำเช่นนั้นไม่ต่างจากอาชญากร ที่คอยหาแต่ผลประโยชน์เพื่อตัวเอง โดยไม่คิดถึงประชาชนและประเทศชาติที่กำลังยากลำบากอยู่ในทุกวันนี้
“ศรีฯ” บี้ ป.ป.ช.สอบให้กระจ่าง
นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า วันที่ 10 ส.ค.นี้ จะไปยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว เพราะถือเป็นมะเร็งร้ายในระบอบประชาธิปไตย หากผู้ทำผิดเป็น ส.ส. อาจเข้าข่ายการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 114 และมาตรา 144 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่ห้าม กมธ.มีส่วนโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ขอให้ ป.ป.ช.รีบเชิญอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลมาให้ข้อมูล และดำเนินการไต่สวนและสอบสวนอนุ กมธ.ฯที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ การไต่สวนกรณีดังกล่าวไม่ยากเพียงแต่นำรายงานการประชุมอนุ กมธ.ฯ มาสังเกตดู ก็จะพบความผิดปกติของขบวนการนี้ได้
“เรืองไกร” บอกเรื่องนี้ต้องถึง “ชวน”
นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติ กล่าวว่า วันที่ 10 ส.ค.นี้ จะไปยื่นหนังสือต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบกรณีดังกล่าว เรื่องนี้ไม่เห็นด้วยที่จะให้กมธ.ฯ สอบกันเอง เพราะอาจผลัดกันเกาหลัง ทราบว่าเรื่องนี้มีการเคลียร์กันแล้ว ดังนั้นการสอบกันเองไม่น่าจะได้ความจริง ขอให้นายชวนลงมาดูแลตรวจสอบเรื่องนี้เอง เพราะสถานที่เกิดเหตุคือสภาผู้แทนราษฎร นอกจากนี้จะขอให้สภาฯเปิดเผยรายชื่อ ส.ส. 113 คน ที่ค้างหนี้สายการบินนกแอร์ด้วย
คนไม่มั่นใจแก้ รธน.การเมืองดีขึ้น
ขณะที่นิด้าโพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนจำนวน 1,255 หน่วยตัวอย่าง เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วการเมืองไทยจะดีขึ้น? พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 35.14 ระบุว่าควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อเปิดทางให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ ร้อยละ 33.94 ระบุว่าควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา และร้อยละ 13.87 ระบุไม่ควรมีการแก้ไข ส่วนความมั่นใจของประชาชนว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วการเมืองไทยจะดีขึ้น พบว่าร้อยละ 21.35 ระบุว่ามั่นใจมาก น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น ร้อยละ 23.03 ระบุว่าค่อนข้างมั่นใจ เพราะเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการรับฟังความคิดเห็น เน้นการมีส่วนร่วม ช่วยลดความขัดแย้งได้ ร้อยละ 25.98 ระบุว่าไม่ค่อยมั่นใจ เพราะไม่ว่าจะแก้ไขมากี่ครั้งก็ยังคงมีแต่ปัญหา บางส่วนระบุว่าขึ้นอยู่กับผู้นำประเทศด้วย ร้อยละ 27.33 ระบุไม่มีความมั่นใจเลย มองว่าไม่มีทางที่การเมืองไทยจะดีขึ้น
มองสถานการณ์ลุกลามบานปลาย
ด้านนายนพดล กรรณิกา ผอ.สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนจำนวน 2,459 ตัวอย่าง ควบคู่กับการสำรวจเสียงประชาชนในโลกโซเชียลจำนวน 16,099 ตัวอย่าง เรื่อง “อารมณ์ประชาชน” พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามแบบดั้งเดิมส่วนใหญ่ ร้อยละ 81.6 ระบุว่าปัญหาการเมืองจะรุนแรง ลุกลาม บานปลาย ร้อยละ 18.4 ระบุว่าไม่รุนแรง ส่วนปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่ร้อยละ 87.9 ระบุว่าปัญหาเศรษฐกิจจะรุนแรง คนตกงานเพิ่มขึ้น มีเพียงร้อยละ 12.1 ที่เห็นว่าไม่รุนแรง และร้อยละ 62.2 เห็นว่าปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอยู่ในระดับรุนแรง สำหรับผลสำรวจเสียงประชาชนในโลกโซเชียล พบว่าข้อความการเมืองในโลกโซเชียล และช่องทางการปล่อยข้อความ อันดับที่ 1 เยาวชนปลดแอก อันดับที่ 2 ให้มันจบที่รุ่นเรา อันดับที่ 3 ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส อันดับที่ 4 คณะประชาชนปลดแอก สำหรับอารมณ์ประชาชนกำลังปรับทิศทางเข้าหากัน โดยเริ่มจากอารมณ์ประชาชนในโลกโซเชียลก่อน เมื่อลุกลามมานอกโลกโซเชียลจะทำให้เกิดคลื่นมวลประชาชนออกมาแสดงตนต่อปัญหาทางการเมือง ปัญหาเศรษฐกิจ และปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
“พิธา” เตือนอย่าปลุกม็อบชนเด็ก
ที่ จ.สมุทรปราการ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตามที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล ประกาศใช้ตำแหน่ง ส.ส.ประกันตัวผู้ชุมนุม จนถูกโยงว่าพรรคอยู่เบื้องหลังการชุมนุมนั้น สิ่งที่พวกเราทำเป็นการปกป้องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน พรรคก้าวไกลมาจากประชาชน เมื่อประชาชนโดนคุกคาม ในฐานะผู้แทนราษฎรต้องเข้าไปปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐาน ขอเรียกร้องกลับไปยังรัฐบาลและนายกฯ ถึงความจริงใจที่จะเปิดรับฟังความคิดเห็น อย่ามองคนที่เห็นไม่ตรงกับท่านเป็นศัตรู บอกพร้อมจะรับฟัง แต่กลายเป็นออกหมายจับประชาชนที่ออกมาเรียกร้อง ขอฝากถึงนายกฯว่าต้องมีคำพูดและการกระทำที่สอดคล้องกัน คำว่าฟังต้องเป็นการฟังจริงๆ เปิดใจในสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง และตอบสนองในสิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อให้พวกเขามีอนาคตในประเทศแห่งนี้ และทำให้ประเทศเป็นประเทศของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นประเทศของอภิสิทธิ์ชน อย่าพยายามใช้ปฏิบัติการไอโอสร้างการยุยงปลุกปั่น เพื่อให้มีม็อบผู้ใหญ่ออกมาชนกับม็อบของเยาวชน นิสิต นักศึกษา ทำให้ประเทศไปถึงทางตัน
พลังชลขอรัฐบาลดูแลผู้ชุมนุม
นายสุระ เตชะทัต เลขาธิการพรรคพลังชล (พช.) กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้รัฐบาล เจ้าหน้าที่ดูแลการนัดชุมนุมของเด็กเยาวชนในวันที่ 16 ส.ค.นี้ให้เรียบร้อย อย่าทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกัน อย่าไปกดดันทั้งแกนนำผู้ที่จะมาชุมนุม บุคคลในครอบครัว รัฐบาลควรรับฟังข้อเรียกร้องแล้วนำไปพิจารณา ขณะที่ผู้มาชุมนุมก็ต้องเคารพกฎหมาย เคลื่อนไหวให้อยู่ในกรอบ กติกา แต่ละฝ่ายควรเคารพกัน ทั้งนี้ ก่อนการเลือกตั้งมีการเรียกร้องให้ปฏิรูปประเทศเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ขอถามว่ารัฐบาลได้ทำแล้วหรือยัง ถ้าทำทำไปถึงไหนแล้ว เพราะจากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ยังเห็นถึงความเหลื่อมล้ำในสังคมอยู่ ส่วนการปรับ ครม.เป็นอำนาจนายกฯ เมื่อปรับ ครม.แล้ว จะได้รับการยอมรับจากสังคมโดยส่วนรวมหรือไม่ เป็นเรื่องของสังคมจะมอง ครม.ชุดใหม่ต้องพิสูจน์ฝีมือและผลงาน
กลุ่มเลือกข้าง ปชต.ปลดแอก “ลุง”
วันเดียวกันเวลา 13.30 น. ที่บริเวณหัวมุมถนนดินสอ ฝั่งตรงข้ามอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มเลือกข้างประชาธิปไตย นำโดยนายภัทรพล ธนเดชพรเลิศ จัดกิจกรรมชุมนุมแฟลชม็อบร่วมปลดแอกจากเผด็จการ โดยมีกลุ่มประชาชนที่สนับสนุนจำนวนหนึ่งเข้าร่วมชุมนุมสะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำในกระบวน การยุติธรรม และความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพประชาชนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนผู้คนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมทั้งหมดพากันเดินจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปยังสี่แยกคอกวัว วน 3 รอบ ตะโกนขับไล่รัฐบาลว่า “ประยุทธ์ออกไป” ก่อนสลายการชุมนุมอย่างสงบท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลทั้งในและนอกเครื่องแบบ เฝ้ารักษาความสงบเรียบร้อยตลอดกิจกรรมการชุมนุม
พิษณุโลกคนกล้าจี้หยุดคุกคาม
ที่ริมตลิ่งแม่น้ำน่าน หน้าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมืองพิษณุโลก กลุ่มเยาวชนและนักศึกษา ในชื่อกลุ่ม #พิษณุโลกคนกล้า ไม่ก้มหน้าให้เผด็จการ ประมาณ 20 คน รวมตัวแสดงพลังถือป้าย โจมตีการทำรัฐประหาร พร้อมปราศรัยโจมตีรัฐบาล เรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญ ให้ยุบสภาและหยุดคุกคามประชาชน ใช้เวลาทำกิจกรรมราว 1 ชั่วโมง จากนั้น ทั้งหมดได้แยกย้ายกันกลับ
มหาสารคามไล่บี้ยกร่าง รธน.ใหม่
ที่ อ.เมืองมหาสารคาม นางวัชรพรรณ อุปแสน อดีต ส.จ.ตาดำ นำมวลชนในนามเครือข่ายประชาธิปไตย มหาสารคาม (คปมค.) ชุมนุมที่บริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อ หลักเมืองมหาสารคาม และปราศรัยโจมตีการบริหารงาน ของรัฐบาล ข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญปี 60 ที่ก่อให้เกิดปัญหาตามมา เรียกร้องให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นใหม่ ให้มีบทบัญญัติที่เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์แบบยึดโยงประชาชน ล้างอยุติธรรมทั้งปวงและวางหลักการประชาธิปไตย โดยดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อคืนอำนาจแก่ประชาชน เลือกตั้งใหม่ภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ประชาชนทุกฝ่ายยอมรับ
“นักรบเมืองย่า” ปกป้องสถาบัน
ที่อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี จ.นครราชสีมา กลุ่มนักรบเมืองย่า นำโดยนายประทีป ณ นคร และกลุ่มคนโคราชปกป้องสถาบัน นำโดยนายสมชาย ลิขิตวรศิริ รวมกว่า 50 คน สวมเสื้อเหลืองแสดงพลังปกป้อง สถาบัน โดยอ่านแถลงการณ์ถึงความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีบางคนบางกลุ่ม ออกมาโจมตีใส่ร้ายป้ายสี จาบจ้วงสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ลามปามขยายเข้าไปสู่สถาบันการศึกษาอย่างกว้างขวาง และยื่นข้อเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการกับผู้กระทำผิดกฎหมายไม่ว่ากลุ่มไหน และให้บุคคลหรือกลุ่มที่กำลังจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ หยุดการกระทำโดยเด็ดขาด
“อานนท์” มาตามนัดที่ประตูท่าแพ
ช่วงเย็นที่ลานอเนกประสงค์ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ มีกลุ่มนักศึกษา กลุ่มแนวร่วมประชาชนปลดแอกเชียงใหม่ และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ประมาณ 200 คน รวมตัวกันแจกหนังสือที่ถอดจากคำปราศรัยของนายอานนท์ นำภา ทนายความศูนย์ทนายเพื่อ สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยใหม่ ต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมทยอยเข้ามาในพื้นที่จนหนาตาขึ้น ร่วมกันร้องเพลงและแจกใบปลิวเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ระบุถึงความขัดแย้งทางการเมืองของไทยในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ตำรวจได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงแจ้งผู้ชุมนุมให้สลายการชุมนุมภายในเวลา 18.00 น. ทำให้ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมพากันโห่ไล่ ขณะที่นายอานนท์ นำภา นั่งร่วมโต๊ะอยู่กับกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง หรือกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ภายในร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ริมถนนราชมรรคา ตรงข้ามประตูท่าแพ จับตาดูชุมนุมอย่างใกล้ชิด นายอานนท์กล่าวว่า มาให้กำลังใจและจะขึ้นเวทีเวลา 19.00 น. มีข้อเรียกร้อง 3 ข้อ คือยุบสภา เลือกตั้งใหม่ และแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไม่กลัวว่าการขึ้นเวทีจะส่งผลต่อคดี
ด้าน พ.ต.อ.ภูวนารถ ดวงดี ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า หากนายอานนท์ขึ้นเวทีปราศรัย คงไม่มีการควบคุมตัว แต่จะประสานไปยัง สน.สำราญราษฎร์ เกี่ยวกับการขึ้นเวทีของนายอานนท์
ชักชวนร่วมชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ
กระทั่งเวลา 19.00 น. นายอานนท์ขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตีนายกฯและ ส.ว. พร้อมเรียกร้องให้ผู้ร่วมกิจกรรม และประชาชนชาวเชียงใหม่ไปร่วมชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ ในวันที่ 16 ส.ค. ท่ามกลางเสียงปรบมือ ของผู้ชุมนุมกว่า 500 คนดังสนั่น หลังการปราศรัยราวครึ่งชั่วโมงจบลง นายอานนท์เดินพูดคุยทักทายกับแกนนำ โดยมีกลุ่มนักศึกษาที่ร่วมกิจกรรมห้อมล้อมอารักขาเข้มก่อนเดินทางกลับ ขณะที่ผู้ชุมนุมเริ่มทยอยเดินทางกลับเช่นกัน
August 10, 2020 at 05:23AM
https://ift.tt/3ksTKzk
ส.ว.แบ่งฝ่าย-สวนหมัด งัดข้อเกมแก้รัฐธรรมนูญ - ไทยรัฐ
https://ift.tt/39JQ0CU
Bagikan Berita Ini
0 Response to "ส.ว.แบ่งฝ่าย-สวนหมัด งัดข้อเกมแก้รัฐธรรมนูญ - ไทยรัฐ"
Post a Comment